ข้อมูล นาย สาคร เกี่ยวข้อง

รูปภาพของฉัน
ประวัติ สส.สาคร เกี่ยวข้อง -บุตร นายกงซิ่น นางดลใจ เกี่ยวข้อง -สมรส กับ นาง เพชรารัตน์ เกี่ยวข้อง(จิวากานนท์) -มีบุตร ๑ คน ดช.สถาปนา เกี่ยวข้อง ประวัติการศึกษา มัธยมศึกษา :โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล จ.กระบี่ เตรียมอุดมศึกษา :โรงเรียนสันติราษฎร์ วิทยาลัย กทม.ปริญญาตรี :เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรุงเทพฯ ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต ตำแหน่งปัจจุบัน : -สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร -โฆษกกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร -กรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร -การทำงานที่ผ่านมา:-เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ -เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่-อดีตกรรมการบริหารหอการค้า จ.กระบี่-

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สส.สาคร เกี่ยวข้องร่วมกับสภาผู้ประกอบวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงจังหวัดกระบี่ สถานีวิทยุสองมุมเมืองเรดิโอ ร่วมกันจุดเทียนชัยถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว

สภาผู้ประกอบวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงจังหวัดกระบี่ สถานีวิทยุสองมุมเมืองเรดิโอ ร่วมกันจุดเทียนชัยถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว มีประชาชน ร่วมพิธีจำนวน 1 พันคน จากหลายๆหมู่ ใน ต.เขาดิน อ.เขาพนม จ.กระบี่

เมื่อ เวลา 20.00น.วันที่ 4 ธ.ค.52 ที่ลานเอนกประสงค์ตลาดสองมุมเมือง (บ้ากอตง) หมู่ที่ 1 ตำบลเขาดิน อ.เขาพนม จ.กระบี่ นายชัยเลิศ ภิญโญรัตนโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ในพิธีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราสักการะ หน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมล เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5ธันวาคม 2552 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี มีนายสาคร เกี่ยวข้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ นายอาคม วรรณสัก ประธานสภาผู้ประกอบวิชาชีพวิทยุกระจายเสียง จังหวัดกระบี่

มีประชาชน นักจัดรายการวิทยุ ศิลปินท้องถิ่น ประชาชน กว่า 1 พัน จากหลายหมู่บ้าน ในตำบลเขาดิน อำเภอเขาพนม จ.กระบี่ และประชาชน ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานีที่อาณาเขตติดกัน ได้ร่วมกันจุดเทียนชัยถวายพระพร ร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราชาและการจุดพลุสดุดี ชุดเทพไท้องค์ราชันย์ และ ชุด ธ.สถิตย์ในดวงใจคนไทยทั้งชาติ เฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน เข้าร่วมจำนวน 1,000 คน ในการประกอบพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวฯเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวามหาราช เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี

ดูวิดีโอได้ที่นี้

http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=68766

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บอกข่าวเล่าเรื่อง ตอนการขอขึ้นทะเบียนหนี้นอกระบบ


วันนี้มีโครงการที่ดีที่ทางรัฐบาลได้จัดให้มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบโดยเปิดโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ


ลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 1-30 ธ.ค.52


โดยลงชื่อที่ ธ.ออมสิน-ธ.ก.ส.ทุกสาขา
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1-30 ธันวาคม 2552 ได้ที่ธนาคารออมสิน 600 สาขา และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั้ง 900 สาขาทั่วประเทศ หลังจากนั้นจัดแยกประเภทหนี้ จัดลำดับความสำคัญของการเป็นหนี้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หรือหนี้เพื่อประกอบอาชีพเป็นหลัก


โดยธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.พร้อมรับโอนหนี้นอกระบบเข้าเป็นหนี้ในระบบ กำหนดให้กู้รายละ 2 แสนบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน ร้อยละ 12 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 8 ปี โดยต้องเป็นหนี้นอกระบบก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 โดยใช้บุคคลค้ำประกันในการขอกู้ โดยกู้ไม่เกิน 100,000 บาท ใช้บุคคลค้ำประกัน 1 ราย และตั้งแต่ 100,000 – 200,000 บาท ใช้บุคคลค้ำประกัน 2 ราย


นอกจากนี้ยังกำหนดเงื่อนไขที่ผู้เข้าโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบจะ ต้องเข้าโครงการฝึกอบรมเพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โครงการฟื้นฟูอาชีพ เพื่อไม่ให้ประชาชนกลับเข้าสู่วงจรการเป็นหนี้นอกระบบอีก โดย ธ.ก.ส.และธนาคารออมสิน จะจัดสรรเงินรายได้มาจัดโครงการฝึกอบรมประชาชนภาคบังคับเพื่อให้ความรู้พื้น ฐาน ปรับทัศนคติ และเข้าใจพิษภัยของการดำรงชีวิตจากหนี้นอกระบบ
สำหรับกลุ่มมิจฉาชีพเตรียมจัดทำหนี้ปลอมหรือเจ้าหนี้ปลอมเพื่อเข้า โครงการหวังกู้เงินในระบบนั้น รัฐบาลมีระบบการตรวจสอบที่ชัดเจน ดังนั้น หากพบว่ามีการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาจมีโทษถึงติด คุกได้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวนี้ รัฐบาลจะมีคณะกรรมการระดับชาติ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานที่ปรึกษาโครงการ มีการประสานการทำงานจากหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพากร เพื่อพิจารณากระบวนการดำเนินโครงการตั้งแต่การขึ้นทะเบียน การจัดหาแหล่งเงิน การกำหนดดอกเบี้ยที่เป็นธรรม กระบวนการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้นอกระบบ ที่มีผู้บริหารระดับท้องถิ่นร่วมรับผิดชอบ

รัฐบาลจะดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบไปจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2553 (30 กันยายน 2553) หลังจากนั้นจะมีการประเมินการทำงานของโครงการ คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการเพื่อขอให้รัฐบาลแก้หนี้นอกระบบเป็นหลัก ล้านราย

พี่น้องที่สนใจสามารถโหลดแบบยื่นคำขอได้ที่นี้

http://www.baac.or.th/file-upload/2009-11-19-592129857-nb1.pdf

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒สส.สาคร เกี่ยวข้อง ตั้งกระทู้ถาม นายกรัฐมนตรี เรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง

ด้วยความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนในชายฝั่งอันดามัน ในพื้นที่ จ.กระบี่ จ.พังงา จ.ระนอง จ.ภูเก็ต จ.ตรัง และจ.สตูล ในปัญหาของการกัดเซาะชายฝั่งของคลื่นทะเลซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนเป็นอันมาก จึงเป็นที่มาขอการตั้งกระทู้ถามถามนายกรัฐมนตรี

สาระสำคัญ ที่ สส.สาคร เกี่ยวข้องได้ถาม กระทู้

เรื่อง ปัญหาคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ด้านอันดามัน จังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา จังหวัด

ระนอง จังหวัดภูเก็ต จังหวัดตรัง จังหวัดสตูล

กราบเรียน ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ข้าพเจ้าขอตั้งกระทู้ถาม ถามนายกรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

เนื่องจาก เกิดการเปลื่ยนแปลงสภาพพื้นที่แนวชายฝั่งทะเล ด้านอันดามันไม่ว่าจะเป็นจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา จังหวัดระนอง จังหวัดภูเก็ต จังหวัดตรัง จังหวัดสตูล ได้ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นอย่างมาก ทำให้ที่ดิน ที่เป็นของรัฐและของประชาชนเกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มจังหวัดด้านฝั่งอันดามัน เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ที่มีขีดความสามารถในด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เร่งแก้ไขปัญหา ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ในเรื่องที่อยู่อาศัย วิธีชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ มีผลกระทบต่อศักยภาพในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งก็จะก่อให้เกิดปัญหาทางด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมากทาย จึงขอเรียนถามว่า

๑.ข้อมูล สภาพปัญหา การกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่ด้านทะเลอันดามัน และผลกระทบอะไรบ้างที่เกิดกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ขอทราบรายละเอียด

๒.รัฐบาลได้มีมาตรการอย่างไรบ้างในการแก้ไขปัญหา ได้มีแผนแม่บทในการแก้ปัญหาหรือไม่ และงบประมาณที่จะนำมาแก้ไขปัญหามีจำนวนประมาณเท่าไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มดำเนินการเมื่อใด จังหวัดไหนบ้าง ขอทราบรายละเอียด

๓.รัฐบาลได้จัดให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลในปัญหาดังกล่าวนี้หรือไม่ และ ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้หรือไม่อย่างไร ขอทราบรายละเอียด

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สส.สาคร เกี่ยวข้อง เข้าร่วมโครงการร้องเพลงชาติ “ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง” นำร่องกระบี่เป็นจังหวัดแรกจัดอย่างยิ่งใหญ่ มวลชนร่วมนับหมื่นคนแสดงพลังรักชาติ

กระบี่ - จังหวัดกระบี่ นำร่องจังหวัดแรกจัดร้องเพลงชาติไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็งอย่างยิ่งใหญ่ มวลชนร่วมนับหมื่นคนแสดงพลังรักชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดกระบี่ว่า เวลา 18.00 น.วันที่ 20 กันยายน ตามที่ทางรัฐบาล ลงมติเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2552 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีความสมัครสมานสามัคคี เกิดความรักชาติ ลดความขัดแย้งทางการเมือง ตลอดจนส่งเสริมสร้างภาพลักษณ์อันดีงานของประเทศไทย

โดยกำหนดเปิดโครงการในวันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2552 เวลา 16.00-19.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และกำหนดให้มีการจัดงานดังกล่าวทั่วประเทศ 76 จังหวัด โดยเรียงลำดับในแต่ละวัน

สำหรับจังหวัดกระบี่ ได้ถูกกำหนดให้จัดกิจกรรมเป็นจังหวัดแรก วันที่ 20 กันยายน 2552 เวลา 18.00 น. โดยได้จัดขึ้น บริเวณลานพระอาทิตย์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ มีนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการนำร่วมร้องเพลงชาติ มีนายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่

นางวรรณมาศ ศิริเสาวลักษณ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดกระบี่ นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.ปชป.กระบี่ ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ประมาณ 1 หมื่นคนร่วมในพิธี

เรื่องเล่าเมื่อวันวาน


สาคร เกี่ยวข้องส.ส.ปชป.กระบี่ ท้าเดิมพันตำแหน่ง ณัฐวุฒิหากตนบงการพันธมิตรฯไล่ มท.เป็ดเหลิมจริง พร้อมลาออก แต่ถ้าไม่จริง ณัฐวุฒิก็ต้องลาออกด้วย
วันนี้ (4 ก.ค.) ที่ทำการสาขาพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดกระบี่ นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จังหวัดกระบี่ ได้แถลงข่าวโต้ตอบ กรณีที่ ทาง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำ นปก.ได้ออกมากล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่ จ.กระบี่ ในขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เดินทางลงพื้นที่ ว่า ได้มีคนภาคใต้ส่งข้อมูลให้ว่าในสถานที่การชุมนุมมีการกดดัน รมว.มหาดไทย ส.ส.ชื่อย่อ ส.พรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่ง เข้าไปอยู่บริเวณดังกล่าวด้วย

พร้อมเรียกร้องให้คนในพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลดำเนินการ แต่ก็ถูกปฏิเสธ และเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกตนมาสอบถามให้รู้แน่ว่า เวลา 20.00 น.เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ได้อยู่ในสนามบินกระบี่ บริเวณชั้น 3 ริมระเบียงหรือไม่ พร้อมทั้งมีการถ่ายภาพบุคคลที่มาต้อนรับ รมว.มหาดไทย ขณะที่มีผู้ชุมนุมประมาณ 200 คน ถือเป็นการกดดัน ร.ต.อ.เฉลิม จริงหรือไม่

นายสาคร กล่าวว่า ขอเรียนรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ในวันเกิดเหตุตนได้ไปอยู่ที่สนามบินจริง เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯด้วยเที่ยวบิน TG260 เวลา 21.05 น.ในวันที่ 1 ก.ค.2551 และไปถึงก่อนที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะเดินทางมาถึงสนามกระบี่ เพื่อไปเข้าประชุมคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา 2 คณะ คือ คณะกรรมาธิการพลังงาน และคณะกรรมาธิการกิจการตามองค์การรัฐธรรมนูญรัฐวิสาหกิจ และในวันที่ 2 ตนก็ได้เข้าร่วมประชุมตั้งแต่เช้า ซึ่งตนยืนยัน และให้ตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน รายชื่อผู้เดินทางในไฟล์บิน หรือการลงชื่อในที่ประชุม ซึ่งขอยืนยันว่าตนการที่ตนอยู่ที่สนามบินบริสุทธิ์ใจจริงๆไม่ได้เกี่ยวพันกับกลุ่มพันธมิตรฯ ตามที่ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมากล่าวอ้าง

ส.ส.ปชป กล่าวด้วยว่า จากการที่รองโฆษกรัฐบาลสำนักงานนายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะตัดงบประมาณทั้งหมดในส่วนของภาคใต้นั้น เป็นคำพูดที่ไม่มีความรับผิดชอบ ถ้าท่านตัดงบประมาณทางภาคใต้แล้วยังเก็บภาษีในพื้นที่ภาคใต้อยู่อีกก็ไม่สมควร ภาษีที่รัฐเก็บจากภาคใต้ เพื่อไปพัฒนาประเทศ เป็นงบประมาณของประเทศ และมีการเก็บอัตราเดียวกันทั้งประเทศ แต่ในการจัดสรรงบประมาณพัฒนาประเทศ จะมาเลือกว่าพื้นที่ใดเลือกท่านหรือเลือกพรรคของท่านแล้วให้งบประมาณในการพัฒนาจังหวัดก่อน เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นความคิดของคนที่มีมันสมองขี้เลื่อย ขาดจิตสำนึก ถ้าคิดแบบนี้ก็เหมือนรัฐบาลก่อนที่เกิดปัญหา เป็นการจุดประเด็นทางการเมือง ของนักการเมืองที่ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นผลเสียต่อรัฐบาลอย่างยิ่ง

นักการเมืองใหม่อย่างผมถึงแม้สามัญสำนึกจะน้อย แต่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยห้ามปฏิบัติแบบนั้นเหมือนที่โฆษกรัฐบาลสำนักงานนายกรัฐมนตรีกระทำอยู่ในขณะนี้ บ้านเกิดของท่านอยู่ที่ไหน ญาติพี่น้องอยู่ที่ไหน ผมมีจิตสำนึกอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยลืมกำพืชของตัวเอง ท่านลืมหรือยัง พูดอะไรคิดบ้าง

นักการเมือง หรือรัฐบาลต้องลงมาพื้นที่ภาคใต้ให้มากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ในแต่ละจังหวัดทางภาคใต้ อย่าปล่อยให้น้ำผึ้งหยดเดียว ทำลายประชาชน เหมือนที่ท่าน มท.1กล่าวหากลุ่มพันธมิตรฯ และให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ พูดแบบนี้ก็รู้แล้วเป็นอย่างไร มีวุฒิภาวะแค่นี้ไม่ใช่เสนาบดี

การที่ นายณัฐวุฒิ กล่าวหาว่า ได้ทำการตรวจสอบแล้ว ผมไม่มีส่วนที่จะเดินทางไปยังกรุงเทพฯ ไม่มีส่วนในการใช้สนามบินไม่ได้ไปรับใคร ไม่ได้ไปส่งผู้ใด ขอเรียนคุณนัฐวุฒิด้วยว่า ผมได้เดินทางไปยังกรุงเทพฯจริงๆ และตามที่ท่านชอบสาบาน ตามที่ท่านชอบท้า ผมขอท้ากลับบ้าง ว่าท่านกล้าหรือไม่โดยเอาตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลของท่านแลกกับตำแหน่ง ส.ส.ของผม ถ้าเป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวหา ผมพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.ทันที แต่ถ้าไม่เป็นความจริง การที่ท่านพูดเป็นการกล่าวเท็จใส่ผม นายณัฐวุฒิ พร้อมที่จะรับผิดชอบคำพูดโดยการลาออกด้วยไหม เพื่อเป็นการรับผิดชอบคำพูดที่ชอบกล่าวหาใส่ร้ายผู้อื่น

สส.สาคร เกี่ยวข้อง เซ็นต์สัญญาการว่าจ้างบริหารจัดการ โรงแรม คราวน์ ลันตา รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะลันตาใหญ่ จ. กระบี่


เซ็นต์สัญญาการว่าจ้างบริหารจัดการ โรงแรม คราวน์ ลันตา รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะลันตาใหญ่ จ. กระบี่

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.52--สยามแอ็ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ล แอนด์ สปา

นาย สาคร เกี่ยวข้อง ประธานกรรมการ โรงแรม คราวน์ ลันตา รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะลันตาใหญ่ จ. กระบี่ (ที่ 3 จากซ้าย) และ นาย นพดล ภูเก้าล้วน รองประธานกรรมการ (ที่ 1 จากซ้าย) ร่วมลงนามในสัญญาว่าจ้างบริหารจัดการ โรงแรม คราวน์ ลันตา รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะลันตาใหญ่ จ. กระบี่ กับ นาย พรพินิจ พรประภา ประธานกรรมการ สยามแอ็ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ล แอนด์ สปา (ที่ 4 จากซ้าย) โดยโรงแรม คราวน์ ลันตา รีสอร์ท แอนด์ สปา ได้ถูกกำหนดเป็นรีสอร์ทระดับ High-end บนเนื้อที่ 14 ไร่ ของหาดเขากวาง เกาะลันตาใหญ่ จ.กระบี่ ด้วยการตกแต่งสไตล์ไทยแต่แฝงไว้ด้วยความทันสมัย และสวยงาม ประกอบด้วย ห้องพัก 70 ห้อง และวิลล่าส่วนตัว 13 หลัง มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าฮันนีมูนและกลุ่มครอบครัวทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

คำต่อคำ ผู้แทนราษฎรของพี่น้อง จ.กระบี่ อภิปราย พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553




กราบเรียน ท่านประธานที่เคารพ กระผมนายสาคร เกี่ยวข้อง

สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ท่านประธานครับ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันที่สำคัญอีกวันหนึ่งของกระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติ นั่นคือการพิจารณาพระราชบัญญัติ ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศ ต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศเช่นกัน ดังนั้น พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จึงมีความสำคัญที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รอบคอบ โดยยึดถือประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน โดยยึดถือประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนเป็นหลักสำคัญในการพิจารณา

ท่านประธานครับ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลในปีงบประมาณปี พ.ศ. 2553 เหตุผลเพราะว่าผมได้ตรวจได้พิจารณารายละเอียดแล้วเป็นการจัดทำงบประมาณที่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน

และประการสำคัญครับท่านประธาน เป็นการจัดทำงบประมาณที่สอดคล้องกับนโยบายที่ได้แถลงไว้เมื่อครั้งที่ท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แถลงต่อรัฐสภาไว้ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 ในเรื่องของภาคการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญ ต่อภาคการท่องเที่ยวเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลชุดที่ผ่าน ๆ มา

ท่านประธานครับ เพื่อให้เป็นการเข้าใจอย่างเป็นระบบ กระผมขอย้อนไปถึงนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว เพื่อจะได้ชี้ประเด็นให้เห็นว่าการจัดสรรงบประมาณในปีนี้สอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร

ท่านประธานครับ งบประมาณในปีนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ตั้งไว้ 4,113,141,200.- บาท ซึ่งตามคำสัญญาที่รัฐบาลได้ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนเมื่อครั้งแถลงนโยบายถือได้ว่าเป็นการจัดสรรงบประมาณที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กับพันธกิจที่รัฐบาลได้วางไว้ ซึ่งกระผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้

ประเด็นที่ผมจะขอกล่าวถึงมีเพียงไม่กี่ประเด็นครับ

1. มาตรา 9 นี้ ได้กำหนดตั้งงบประมาณไว้เป็นจำนวน 4,113,141,200.- บาท

ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือ ข้อ 1 วงเล็บ 2 คืองบประมาณที่ตั้งไว้เพื่อใช้ในแผนงานปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นจำนวน 479,063,500.- บาท ซึ่งผมจะขอชี้ให้ท่านประธานเห็นว่า ตรงครับท่านประธาน ตรงตามที่ได้แถลงไว้ในการแถลงนโยบาย ไม่ว่าจะเป็น

ข้อ 4.2.3.1 ที่ได้แถลงไว้ว่าจะขยายฐานภาคบริการในโครงสร้างการผลิตของประเทศ

ข้อ 4.2.3.2 ที่ได้แถลงไว้ในเรื่องของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทั้งของรัฐและเอกชนโดยรักษาและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิมที่มีอยู่แล้ว

ข้อ 4.2.3.3 ที่ได้แถลงไว้ว่าจะพัฒนามาตรฐานบริการด้านการท่องเที่ยว

ท่านประธานครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวและบริการ เหตุผลก็เพราะว่าการที่จะให้ภาคการท่องเที่ยวเข้มแข็ง สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมีหลักเกณฑ์ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งครับ

2. ในข้อ 3 วงเล็บ 1 ก็เช่นเดียวกันครับ ที่ได้จัดสรรงบประมาณในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวและบริการ ของสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นจำนวน 741,072,600.- บา ซึ่งผมไม่ขอกล่าวในประเด็นนี้ซ้ำอีก

3. ประเด็นที่ผมจะพูดในประเด็นนี้ ความคิดของกระผม ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและเข้ากับสภาวการณ์ปัจจุบันได้ดีที่สุด เป็นการจัดทำงบประมาณที่บ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ได้เข้าใจสภาพสังคม เศรษฐกิจและการเมืองเป็นอย่างดี นั่นคือ

- ในข้อ 4 งบรายจ่ายอื่น ของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ได้จัดงบประมาณในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ เป็นจำนวน 122,750,000.- บาท (ร้อยกว่าล้านบาท)

ซึ่งผมเห็นใจท่านนายกรัฐมนตรีมาก เพราะถือว่าท่านเข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่วิกฤติ แล้วถือได้ว่าวิกฤติจริง ครับ ท่านเข้ามาบริหารประเทศท่ามกลางวิกฤติที่เป็นผลมาจากการกระทำของการบริหารงานที่ผิดพลาดที่ผ่านมา ซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวพาดพิงบุคคลใดเป็นที่ทราบกันดีอยู่

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศเป็นเรื่องที่น่ายินดี แทนพี่น้องประชาชนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ที่รัฐบาลชุดนี้ได้ให้ความสำคัญเป็นอันมาก

ในเขตพื้นที่ของกระผม คือ จังหวัดกระบี่ และจังหวัดรอบข้างในฝั่งอันดามัน ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต ระนอง พังงา สตูล ต้องยอมรับครับว่าพี่น้องผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศมากครับ ถ้ารัฐบาลไปช่วยเหลือย่อมที่จะทำให้มีการลดภาวะผลกระทบได้อย่างแน่นอน

ท่านประธานครับ พี่น้องประชาชนในพื้นที่ของกระผม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก หากการท่องเที่ยวมีการพัฒนาจนเกิดความเจริญรุกหน้า เข้มแข็งขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ ที่ประโยชน์สุขก็จะเกิดกับพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวมาก เศรษฐกิจโดยภาพรวมทั้งหมดก็จะดีขึ้นตามลำดับ ผลจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดงบประมาณ ดำเนินการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ท่านประธานครับ เหตุผลที่ผมขอปรับลดงบประมาณ ขอกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 2% เหตุเพราะว่าผมติดใจในประเด็นการจัดสรรงบประมาณของสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวในงบรายจ่ายอื่น เช่น ค่าจ้างที่ปรึกษาในด้านต่าง เช่น

- ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านมาตรฐานบริการท่องเที่ยว

- ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยว

- ค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาตามแหล่ง ท่องเที่ยวตามเส้นทางท่องเที่ยวตามเส้นทางเลียบฝั่ง แม่น้ำโขง

- ค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางด้านแหล่ง ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

- ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัยและ ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว

ผมเห็นว่าเป็นงบประมาณที่ตั้งไว้มากเกินความจำเป็นเพราะผมยังมีความคิดว่าศักยภาพของข้าราชการของคณะกรรมการต่าง ที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว รวมทั้งฝ่ายการเมืองยังมีศักยภาพเพียงพอบางกรณีไม่จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาด้วยซ้ำ เช่น

- ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัยแก่ นักท่องเที่ยว พี่น้องตำรวจของเรายังมีศักยภาพน่าจะ

มีคำปรึกษาในด้านนี้ได้ ซึ่งรวมค่าจ้างที่ปรึกษาต่าง แล้ว รวม 32,950,000.- บาท

ผมคิดว่าน่าจะนำไปจัดทำโครงการอื่น ที่เป็นประโยชน์ เช่นการทำภาพยนตร์ อาจใช้ทำภาพยนตร์สั้นหรือยาวก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ที่สวยงาม เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหากทำอย่างจริงจังและเป็นระบบ น่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเมืองไทยเป็นอย่างมาก

สุดท้าย ผมในฐานะผู้แทนของพี่น้องประชาชนผมขอให้กำลังใจท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการบริหารราชการบ้านเมือง เพื่อให้สำเร็จลุล่วงตามที่นายกรัฐมนตรีได้ตั้งเป้าหมายไว้ ผมเชื่อในความซื่อสัตย์ สุจริต ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ความสามารถ ของท่านนายกรัฐมนตรี ที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและในฐานะที่แท้จริงคือราษฎร จะขอช่วยเหลือและสนับสนุนการบริหารประเทศของท่านนายกรัฐมนตรีโดยยึดประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

สส.สาคร เกี่ยวข้อง พบปะพี่น้องสาธารณสุข จังหวัดกระบี่ และจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ



19 สค 2552
สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข ยื่น 2 พรบ.เป็นวาระเร่ง

ตัวแทนสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข ยื่นหนังสือเรียกร้องให้นำร่าง พระราชบัญญัติ เกี่ยวกับสาธารณสุข 2 ฉบับเป็นวาระเร่งด่วน หลังเคยเรียกร้องมาก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่มีการพิจารณา

กลุ่มตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุข 76 จังหวัดทั่วประเทศ นำโดย นายไพศาล บางชวด นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข เดินทางมาที่รัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นากยกรัฐมนตรี ให้เร่งผลักดันร่าง พระราชบัญญัติส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคแห่งชาติ และ พระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุข เข้าเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งก่อนหน้านี้สมาคมเคยยื่นเรื่องให้เร่งรัดพระราชบัญญัติดังกล่าวมาแล้วแต่ยังไม่มีการพิจารณา

โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกไปรับหนังสือ และรับปากที่จะเร่งดำเนินการ ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่า การเดินทางมาครั้งนี้ไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นการแสดงออกของตัวแทนสาธารณสุขจำนวนมาก จึงทำให้การจราจรติดขัด แต่เมื่อได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีแล้วได้ดินทางกลับทันที
ในการเดินทางมาครั้งนี้ของพี่น้องชาวสาธารณสุขทั่วประเทศรวมพี่น้องชาวสาธารณสุขจังหวัดกระบี่ด้วย
สส.สาคร เกี่ยวข้อง ได้ออกมาพบปะพี่น้องสาธารณสุขอย่างเป็นกันเองและได้สอบถามถึงปัญหาความเดือดร้อนและแนวทางที่จะได้ช่วยผลักดันกฎหมาย 2 ฉบับดังกล่าวต่อไป

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บอกข่าวเล่าเรื่อง ตอนที่ 3

โครงการนี้คืออะไร
โครงการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เดือนละ 500 บาท
หลักการและเหตุผล

เพื่อสร้างหลักประกันรายได้เป็นการตอบแทนการทำงานหนักมาตลอดชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ และกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ

ผู้ได้รับผลประโยชน์

ผู้สูงอายุสัญชาติไทย ที่มีอายุ 60 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป โดยเป็นผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2492 และต้องไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

วิธีการดำเนินการ

รัฐบาลให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สูงอายุ จัดทำทะเบียนประวัติ และรายชื่อให้แก่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อโอนเงินให้แต่ละเขตการปกครองโดยโอนเงินหรือจ่ายเงินสดผ่านบัญชีธนาคารให้กับผู้สูงอายุเป็นรายเดือน เดือนละ 500 บาท

กำหนดการดำเนินงาน

ผู้สูงอายุจะได้รับเบี้ยยังชีพ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 เป็นต้นไป

ติดต่อผู้รับผิดชอบ

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย โทร. 0-2241-9000 หรือ www.thailocaladmin.go.th

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บอกข่าวเล่าเรื่อง ตอนที่ 2

โครงการที่จะนำมาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบในวันนี้คือโครงการเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งเป็นอีกโครงการหนึ่งที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับ การศึกษา เหตุผลเพราะว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้มีการพัฒนาไปในทุกๆด้าน อนาคตของเด็กเยาวชนหากมีการส่งเสริมและช่วยเหลือทางด้านการศึกษาก็ย่อมที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ของกระทรวงศึกษาธิการด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๔๙ ได้บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ วรรค ๑ บัญญัติว่าการจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบกับคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ได้กำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการตามเจตนารมณ์ดังกล่าวในปีแรก โดยกำหนดไว้ใน ข้อ ๑.๓ การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ข้อ ๑.๓.๑ ว่าให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี ๑๕ ปี โดยสนับสนุนตำราในวิชาหลักให้แก่ทุกสถานศึกษา จัดให้มีชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนฟรีให้ทันปีการศึกษา ๒๕๕๒ และสนับสนุนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อชดเชยรายการต่าง ๆ ที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากผู้ปกครองอีกทั้งนโยบายของรัฐด้านการศึกษา ข้อ ๓.๑.๔ กำหนดว่า จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี ๑๕ ปี ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้เกิดความเสมอภาคและความเป็นธรรมในโอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชนในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ทั้งผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ผู้บกพร่องทางร่างกายและสติปัญญา และชนต่างวัฒนธรรม รวมทั้งยกระดับการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชน

โครงการนี้คืออะไร

โครงการสนับสนุนให้นักเรียนทุกคนเรียนฟรี 15 ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับ ม. 6

หลักการและเหตุผล

เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม อีกทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง เป็นการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ

ผู้ได้รับผลประโยชน์

นักเรียนในสายสามัญและอาชีพ ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวนกว่า 12 ล้านคน ใน 40,000 โรงเรียนทั่วประเทศ

วิธีการดำเนินการ

โอนงบประมาณผ่านสถานศึกษาและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นค่าหนังสือ เครื่องแบบนักเรียนอุปกรณ์การเรียน และค่าใช้จ่ายกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยนักเรียน / ผู้ปกครองรับเงินสด สำหรับค่าเครื่องแบบนักเรียนคนละ 2 ชุด และอุปกรณ์การเรียนคนละ1 ชุด

กำหนดการดำเนินงาน

ให้เสร็จสิ้นภายใน 16 พฤษภาคม 2552 (ก่อนเปิดเทอมปีการศึกษา 2552)

ติดต่อผู้รับผิดชอบ

สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โทร. 0-2280-2935, 0-2281-1956, 0-2282-1319 และ 0-2288-5853 www.obec.go.th

เรียนฟรี 15 ปี

งบประมาณ: 19,001 ล้านบาท

เบิกจ่ายไปแล้ว 15,742 ล้านบาท

โครงการมีการเบิกจ่ายคิดเป็นร้อยละ 57 ของงบประมาณที่จัดสรรสู่สถานศึกษา